No Hurry No Worry ขออภัยแต่ไม่ต้องรีบ
ปกติชอบอ่านหนังสือฟังพอดแคสต์พัฒนาตัวเองอยู่บ่อยๆ มันเป็นเทรนคนสมัยนี้แหละ อยากประสบความสำเร็จไว productivity ต้องเยอะ ปล่อยเวลาว่างไว้ไม่ได้ แต่อีหนังสือนี่บอก “เดี๋ยวใจเย็น จะรีบไปไหน” เฮ้ย ขัดกะlife coach นะ
เค้าว่า Lifespan หรือค่าเฉลี่ยการมีชีวิตของมนุษย์เราอยู่ได้นานขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ แต่จะอยู่นานยังไงให้มีความสุข มีเงินใช้ ป่วยก็มีเงินรักษา อันนี้น่าคิด (ประกันสุขภาพและ retire สิจ๊ะ อีกทางเลือก ที่น้องน้ำมีตัวช่วย 😆 อ้าวขายของเฉย)
กูคิดก็ต้องรีบหาเงินสิวะ หนังสือว่าใช่ แต่มึงต้องบาลานซ์เรื่องร่างกายและจิตใจด้วยไหม (คุยกับหนังสือก็ได้เหรอ?) เหนื่อยก็พักได้นะเว้ย เวลามีอีกเยอะ คิดอะไรให้คิดเผื่อยาวๆ
แต่กูอยากรวย รวย รวย แต่หนังสือว่าคนรวยสมัยก่อนสบายไม่ต้องทำงานหนัก แต่คนรวยสมัยนี้กลับทำงานหนัก ไม่ใช่หนักแค่ร่างกายนะ แต่หนักทั้งจิตใจด้วย ไม่มีเวลาได้พักผ่อน(บางคนทำงานจนตายเราก็เห็นกันออกบ่อย) ที่อ่านแล้วตลกร้ายในเรื่องนี้อีกอย่างคือ “ความยุ่งเป็นเครื่องบ่งบอกสถานะของการเข้าใกล้ความสำเร็จของคนสมัยนี้” เห้ยพอทำงานมาสักค่อนชีวิตได้เจอคนยุ่งมาหลายรูปแบบ (เท่าที่นึกออกตอนนี้)
- ไม่ยุ่ง แต่ทำเป็นยุ่ง (คนอื่นได้ดูว่าขยันและได้เกรงใจไม่เพิ่มงานให้, ทั้งงานที่ทำงานและงานที่บ้าน)
- ยุ่ง แต่เหมือนไม่ยุ่ง เพราะเค้าจัดการงานได้ดี (แล้วคนอื่นเห็นว่าไม่ยุ่งเลยให้งานเพิ่ม แสด!!!) * แต่มีบางคนก็ปฏิเสธเก่งด้วยแบบไม่ให้เสียน้ำใจ (อันนี้ต้องฝึก)
- ยุ่ง แต่โยนงานให้คนอื่นทำ(เรียกสวยๆก็คือกระจายงาน) แล้วเอาหน้าตอนงานเสร็จก็มี
- ยุ่งกะงานนอก (อ้าวงานหลักกูเสร็จแล้วทำไมจะทำไม่ได้ life coach บอกให้มีงานที่2 ที่3 ทำไงฮะ)
- ยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง งานใหญ่เลยไม่เสร็จสักที
- ยุ่งเรื่องชาวบ้าน งานการตัวเองไม่ทำ
- ทำเป็นยุ่งจะได้ไม่ต้องไปปีนผา (วิธีนี้ใช้ไม่ค่อยได้ผล อีโอไม่ยอม วันไหนประชุมออนไลน์ไม่จบสักที่ 18.45 โอเดินมาเคาะนาฬิกาแล้วเคาะอีก พร้อมหน้าตาบูดเบี้ยวและคำบอกกล่าวในเรื่องการจัดลำดับความสำคัญเรื่องสุขภาพต้องมากก่อนการงาน- สวนทางกับ successor หลายคนเค้าเล่าเลยนะโอ เค้าบอก เราต้องทำให้มากกว่าคนอื่นเราถึงจะเป็นที่1 ได้ ทุ่มเท ล้มแล้วต้องลุกให้ไว แล้วก็ล้มอีก แล้วก็ลุกอีกงี้)
เอาจริงๆ แต่ละคนเราน่ายุ่งในทุกรูปแบบข้างต้นมาไม่มากก็น้อย แล้วแต่สถานการณ์ ประสบการณ์ และสันดาน(ไม่ใช่คำหยาบนะ มันคืออุปนิสัยตั้งแต่กำเนิด) ก็ต้องปรับใช้ความยุ่งให้พอดีกับตัวเอง เพราะด้วยตำแหน่งหน้าที่บางทีมันปฏิเสธยาก บ้างทีก็คิดว่ายุ่งวันนี้สบายวันหน้า(แบบเดี๋ยวกูลาแล้วทำให้เสร็จก่อน อีดอกวันลาทำไมกูยังต้องหิ้วคอมไปนั่งทำที่ชายทะเล)
ตั้งใจขยันทำงานใช่เราควรต้องทำ แต่ร่างกายและจิตใจก็เป็นสิ่งที่ต้องดูแลควบคู่กันไปด้วย ไม่งั้นเงินที่หามาก็ได้ไปจ่ายกับการรักษาตัว (ตอนนี้เพิ่มรักษาจิตด้วย) ไม่ต้องรีบมากไปหรอก ค่อยๆไป เหนื่อยก็พัก ขี้เกียจก็ไม่ผิดนะ ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องสำเร็จมันซะทุกอย่าง ทุกวันก็ได้ เลือกอย่างที่สำคัญและจำเป็นพอให้เข้ากับช่วงวัย (เพราะคนเราความจำเป็นไม่เท่ากัน ทำตัวเองให้อยู่ในจุดที่เลือกได้ไม่ต้องไปลำบากใคร แล้วจะพักก็พัก บอกใคร กูบอกตัวกูนิแหละ)
อีกอย่างไอ้หลายทฤษฎีที่บรรดาเหล่า life coach เอามาสอนเนี่ย อย่าง ทฤษฎี‘มาร์ชแมลโลว์’ ที่ให้เด็ก ๆ เลือกมาร์ชเมลโลว์หนึ่งชิ้นและบอกว่ากินได้ทุกเมื่อที่ต้องการ แต่หากรออีกนิด ก็จะได้กินมาร์ชเมลโลว์สองอัน แล้วผลว่าเด็กที่รอได้มีผลการสอบSAT สูงกว่า แต่มันมีคนมาทำการทดลองซ้ำโดยใช้กลุ่มตัวอย่างที่หลากหลายกว่า เค้าบอกจริงแล้วมันมีปัจจัยอื่นๆอีก เช่นฐานะทางครอบครัวของเด็ก (คิดดู ถ้าเราเป็นคนจนแล้วบอกว่าได้เงินไปเลย 5,000 ตอนนี้ กับถ้ารออีก 5 ปี ได้ 100,000 นึง คนจนส่วนใหญ่เค้าก็เลือกเอา 5,000 ตอนนี้แหละ เค้าโง่? ไม่เลย อยาคตของเค้าเป็นเรื่องไม่แน่นอน ตอนนี้กินยังไม่พอเลย มันต้องเอาที่มีตรงหน้าให้ได้ก่อน อนาคตค่อยว่ากัน แต่ถ้าคุณไม่จน คุณไม่ลำบาก คุณก็อาจจะรอได้มากกว่า ก็ตอนนี้คุณมีกินมีใช้ไม่ลำบากนิ)
อ่านแล้วสนุกดี มีอีกหลายอันที่นึกไม่ออก เดี๋ยวกลับคอนโดไปค่อยดูที่ติด Post-it ไว้แล้วมาเขียนต่อ
ปล. ว่างเสาร์อาทิตย์นี้เพราะ ดูวันที่ลงคอร์สออนไลน์ไว้ผิดวัน อีดอก แผนกูร่วนหมด เลยมาสรุปหนังสือโดยที่ไม่ได้เอาหนังสือมา😅 จำได้เท่านี้ อ่านจบตั้งแต่ตอนพักฟื้นหลังผ่าตัดแล้ว (นิก็ยังโกรธตัวเองที่หมอเขียนให้หยุด 1 เดือนแล้วหยุดแค่ 2 อาทิตย์ พอต้องขับรถไปเจอลูกค้าคือเจ็บข้างใน ปรึกษาหมอ หมอบอกใครให้ขับ??? เออ กับดักคนรุ่นใหม่ใจรักการทำงาน เสียสละได้แม้ร่างกายตัวเอง พอ… )